เด็ก ADHD
เราเคยเข้าใจคำว่า ADHD ไม่เป็นในวัยรุ่นที่อายุมากกว่า 15 ปี แต่ความคิดนี้เป็นจริงเพียงบางส่วน มีการวิจัยว่า ADHD เป็นในวัยรุ่นและพบได้บ่อยในวัยรุ่น ในปี ค.ศ. 1996 มีการศึกษา meta-analysis ที่ว่าทุกๆ 5 ปี คนไข้ครึ่งหนึ่งจะหายจากโรค แต่การศึกษาถูกตำหนิว่ามีปัญหาในการทำ การวิจัยอื่นพบว่า restoration rate มีเท่ากับ 40-90% โดยพบว่าอัตราในคลินิกมีมากกว่าในชุมชน โดยทั่วไปเมื่อโตขึ้นอาการหุนหันพลันแล่น และความซนจะลดลง ทำให้เข้าใจผิดว่าหาย แต่ถ้าดูกันดีๆ จะพบว่าเขาจะยังมีความผิดปกติอยู่เมื่อเทียบกับเพื่อนอายุรุ่นเดียวกัน
มีการศึกษา meta-analysis จาประเทศแคนาดาที่ศึกษาระดับของการทำงานพบว่า 1/3 จะปกติ ½ จะยังมีความผิดปกติมีอาการของ ADHD และส่วนน้อยที่จะต้องอยู่ในตึกผู้ป่วยจิตเวชแบบระยะยาว การศึกษาของLambert ก็บอกเช่นกันว่า 20% หาย 37% มีความผิดปกติด้านการเรียนและพฤติกรรมเหลืออยู่ และ 43% อาการคงเดิม สิ่งนี้บอกอะไรเรา มันบอกว่าเด็กบางคนหายจาก ADHD ได้ อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมองส่วนหน้า หรืออาจะเกิดจากโรคมีความรุนแรงต่างกันในแต่ละคน ทำให้เกิดปัญหาว่าจะสามารถหยุดยาได้ในคนไข้รายใด อย่างไรก็ตาม คนไข้ส่วนใหญ่ไม่หาย โยจะอยู่ในสองกลุ่มคือ
ADHD ที่ดีขึ้น ปัญหาลดลง
ADHD ที่ยังคงอยู่ และปัญหาก็ยังคงอยู่แต่ต้องเตือนไว้เสมอว่าคนไข้ ADHD มักเกิดร่วมกับ ปัญหาการเจ็บป่วยอย่างอื่น
ปัญหาที่เสี่ยงในวัยรุ่น ได้แก่ การเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล การเรียนไม่ดี และทำงานที่ต่ำต้อยในสังคม
การวินิจฉัย ADHD ทำง่ายในเด็กอายุ 7-9 ปี แต่ถ้าเด็กหรือโตกว่านั้นจะดูยาก อาจต้องติดตามอาการนาน
โรคสมาธิสั้นหรือที่รู้จักกันในชื่อโรคเด็กซน
-จะเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ ในเด็กอีกหลายโรค ได้แก่ โรคดื้อ (Oppositional) โรคเกเร (Conduct) โรคบกพร่องทางการเรียน (Learning)โรควิตกกังวล (Anxiety) โรคซึมเศร้า (Depression) ถ้าหากโรคสมาธิสั้นได้รับการวินิจฉัยช้าจนเด็กโต จะทำให้มีความเสี่ยงไปกระตุ้นต่อโรคอื่นให้รุนแรงมากขึ้นด้วย
อาการของสมาธิสั้น ประกอบด้วย อาการซน ไม่อยู่นิ่ง (Hyperactivity) และหุนหันพลันแล่น (Impulsive) อาการจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยก่อนเข้าเรียน ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะเห็นเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเริ่มเข้าเรียน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะเกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นอีก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องโดยแพทย์ที่เข้าใจโรค
ระบาดวิทยา
ในเด็กผู้ชายจะพบโรคซน-สมาธิสั้นมากกว่าเด็กผู้หญิง 4-6 เท่า นับว่าเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตของเด็กที่พบบ่อยที่สุดและเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเรียนด้วย
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรค ADHD แต่พอจะทราบ 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค คือ
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม
จากการวิจัยพบว่า พี่น้องท้องเดียวกัน ถ้าหากคนหนึ่งเป็นโรค ADHD พี่น้องคนอื่นจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้สูงถึง 5 เท่า ในลูกฝาแฝดชนิดไข่ใบเดียวกัน โอกาสที่จะเป็นโรคนี้สูงถึงร้อยละ 51 ในไข่แฝด 2 ใบ (คนละใบ) อีกคนหนึ่งจะมีโอกาสป่วยถึงร้อยละ 33 เชื่อว่ามีความผิดปกติที่ยีนชื่อ DRD4
2. ปัจจัยทางชีวภาพ
มีโรคหลายโรคของผู้ป่วยที่เกิดทางร่างกายและทางสมอง แล้วเป็นสาเหตุของโรคเด็กซน-สมาธิสั้น เช่น โรคลมชัก (ลมบ้าหมู) โรคขาดอาหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีน) เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย ต้องอยู่ในตู้อบ โรคสมองอักเสบในเด็ก โรคพยาธิสมองในเด็ก จากการศึกษาพบว่ามีความผิดปกติในการทำงานของสมอง โดยสมองจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ และมีสารซึ่งช่วยส่งสัญญาณของระบบประสาทต่ำกว่าปกติ
3. ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ ปัญหาการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมภายในบ้านไม่เหมาะสม ปัญหาทางด้านจิตใจของพ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ADHD โดยตรง แต่จะเป็นตัวกระตุ้นเด็กที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคซน-สมาธิสั้นอยู่แล้ว ทำให้เกิดอาการปรากฏชัดขึ้น และมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย
การวินิจฉัยอาการและอาการแสดง
1. อาการขาดสมาธิ เด็กจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้สมาธิ เด็กจะแสดงอาการเหม่อลอยบ่อยๆ ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานมักจะออกมาไม่เรียบร้อยตกๆ หล่นๆ เด็กจะมีลักษณะเป็นคนขี้ลืม ทำของใช้หายเป็นประจำมีลักษณะเหมือนไม่ฟังเวลามีคนอื่นพูดด้วย เวลาสั่งให้เด็กทำงานอะไรเด็กมักจะทำหรือทำครึ่งๆ กลางๆ เด็กเหล่านี้จะมีอาการติดตัวไปจนถึงเป็นผู้ใหญ่
2. อาการซน เด็กมีลักษณะอาการซนยุกยิก อยู่ไม่สุข นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดิน หรือขยับตัวไปมา ชอบปีนป่าย เล่นเสียงดัง เล่นผาดโผน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย ประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความซน และความไม่ระมัดระวัง พูดมาก พูดไม่หยุด อาการนี้เห็นได้ชัดในเด็กเล็กๆ เมื่อโตขึ้นอาการซนจะลดลงตามวัย จนเหลือแต่อาการกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจ เวลาต้องอยู่นิ่งๆ ในวัยผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น
3. อาการหุนหันพลันแล่น เด็กจะมีอาการวู่วาม ใจร้อน ทำอะไรลงไปโดยไม่คิดล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขาดความระมัดระวัง เช่น วิ่งข้ามถนนโดยไม่มองซ้ายมองขวา เวลาต้องการอะไรจะต้องได้ทันที รอคอยไม่ได้ เวลาอยู่ในห้องเรียนมักพูดโพล่งออกมา โดยไม่ขออนุญาตครูก่อน มักจะตอบคำถามโดยที่ฟังยังไม่ทันจบ ชอบพูดแทรกในเวลาที่ผู้อื่นกำลังคุยกัน หรือกระโดดเข้าเล่นร่วมลงโดยยังไม่ทันขออนุญาตก่อน เวลาทำการบ้านมักจะทำให้เสร็จไวๆ โดยไม่คำนึงถึงว่างานจะถูกต้องเสร็จเรียบร้อยหรือไม่
4. อาการอื่นๆ ในบางรายเด็ก ADHD จะมีอาการดื้อ ต่อต้าน เกเร ก้าวร้าว หรือมีพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย บางรายอาจจะมีพัฒนาการเด็กล่าช้า มีปัญหาทางด้านภาษา และการพูด บางรายจะมีปัญหาการประสานงานกล้ามเนื้อไม่ดี ปัญหาการเรียนรู้บกพร่อง ในบางรายอาจจะมีอาการทางจิตเวชเกิดร่วมด้วย เช่น อาการซึมเศร้า และโรควิตกกังวล
สรุปอาการขาดสมาธิ 9 ประการ คือ
1. ไม่สามารถจดจำรายละเอียดของงานได้ มักจะทำผิดเนื่องจากขาดความรอบคอบ
2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน หรือเล่น
3. ไม่สนใจฟังคำพูดของคนอื่น
4. ไม่สามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอียดของคำสั่งได้
5. ทำงานไม่เป็นระเบียบ
6. ไม่เต็มใจ หรือเลี่ยงการทำงานที่ต้องใช้ความคิด
7. ทำของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนหรือการทำงานหายบ่อยๆ
8. วอกแวกง่ายๆ
9. ขี้ลืมบ่อยๆ ในกิจวัตรประจำวันของงานที่ทำ
ผู้ป่วยต้องมีอาการอย่างน้อย 6 อาการจาก 9 อาการขึ้นไป และเป็นอย่างน้อย 6 เดือน
อาการซน หุนหันพลันแล่น 9 ประการ คือ
1. ยุกยิก อยู่ไม่เป็นสุข ชอบขยับมือ ขยับเท้าไปมา
2. ชอบลุกจากที่นั่งเวลาเรียน หรือสถานที่ที่จำกัดให้ต้องนั่งเฉยๆ
3. ชอบวิ่งหรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ (ในวัยรุ่นอาจจะแค่กระวนกระวายใจเท่านั้น)
4. ไม่สามารถเล่น หรือนั่งนิ่งอยู่เงียบๆ ได้
5. ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาเหมือนมีเครื่องยนต์ติดตัว
6. พูดมาก พูดไม่หยุด
7. ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม โดยที่ฟังคำถามยังไม่จบ
8. มีความลำบากในการเข้าคิวหรือการรอคอย
9. ชอบขัดจังหวะ หรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นคุยกันหรือแย่งเพื่อนเล่น
การวินิจฉัยโรค ต้องมีอาการ 6 อย่างใน 9 อย่างขึ้นไปนานกว่า 6 เดือน ก่อนอายุ 7 ปี และอาการต้องเกิดอย่างน้อย 2 แห่ง เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน การทำงาน การเข้าสังคม ซึ่งอาการทั้ง 9 ข้อนี้ ไม่ได้เกิดต่อเนื่องหลังจากผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
การรักษา
การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการผสมผสานกันระหว่างการรักษา ด้วยการปรับพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม กับการรักษาทางยา
การปรับพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
1. การฝึกสอนพ่อ แม่ ต้องอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจว่า โรคเด็กซน-สมาธิสั้น นั้นเกิดจากการทำงานของสมองไม่ดี เกิดจากความตั้งใจก่อกวน โดยพฤติกรรมของเด็กเอง
พ่อแม่ต้องเรียนรู้วิธีการดูแลเด็ก
เด็กเหล่านี้จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนในสังคม เด็กจะทรมานกับการทำการบ้านแต่แล้วก็ลืมเอาไปส่งครู เด็กจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น พี่น้อง ส่วนพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจเด็กก็จะไม่สนใจเนื่องจากเด็กจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่จะไม่สามารถควบคุมเด็ก เด็กจะไม่มีระเบียบวินัย ต่อมาพ่อแม่ก็จะใช้วิธีดุ ตีแม้ว่าจะทราบว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร พฤติกรรมการดุด่าและการลงโทษจะทำให้อาการของเด็กแย่ลง เด็กจะดื้อมากขึ้น ต่อต้าน ก้าวร้าว วิธีการที่ดีกว่าคือ การให้คำชมหรือรางวาลเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้อง และควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยการงดกิจกรรมที่เด็กชอบ หรือตัดสิทธิอื่นๆ
ทั้งพ่อแม่และเด็กจะต้องปรึกษาจิตแพทย์ หรือทีมสุขภาพจิต เพื่อช่วยกันประคับประคองความรู้สึก พฤติกรรมให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง พ่อและแม่ต้องพูดคุยกับแพทย์เพื่อที่จะได้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัด ที่ตัวเด็ก และช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อให้เด็กได้ใช้ความสามารถด้านอื่นทดแทนในส่วนที่บกพร่อง
2. การแนะนำต่อครู คุณครูควรจัดที่นั่งเด็กแถวหน้าหรือกลางห้อง ถ้าเด็กหมดสมาธิก็ให้โอกาสไปเดินได้ ชมเชยเมื่อเด็กทำดี แต่อย่าดุหรือลงโทษเมื่อทำผิด การสั่งการบ้านควรเขียนให้ชัดเจนให้เด็กทำงานทีละอย่าง อย่ามากไป อย่าตำหนิติเตียนเด็กอย่างรุนแรง พยายามเข้าใจและหาจุดดีของเด็ก สร้างความเข้าใจและอาจจำเป็นต้องสอนพิเศษ
3. แนะนำที่ตัวเด็กเอง เด็กควรได้รับการสอนเป็นพิเศษ เมื่อเรียนไม่ทัน มีการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากเด็กมีอาการโรคจิตอื่นๆ ด้วยต้องได้รับการบำบัด เด็ก ADHD ที่ขาดทักษะทางสังคมต้องมีการฝึกฝนทางสังคม ให้เข้ากับผู้อื่นได้ การฟัง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การแสดงออกที่เหมาะสมในโรงเรียน ควรจะมีการฝึกฝนสมาธิสำหรับเด็กด้วย
การรักษาด้วยยา
แพทย์ที่รักษาโรคเด็กจะให้ยารักษาอาการซึมเศร้า ยากระตุ้นทางจิตเวช ยาต้านอัดรีเนอร์จิด และยาจิตเวช ต้องระมัดระวังใช้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย ใช้ง่าย มีผลข้างเคียงน้อย ขภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น